

วิตามินดี 3 เรื่องราวดีๆ ที่มีมากกว่าแค่เสริมกระดูก
Highlight
● หลายงานวิจัยพบว่า ผู้ที่มีอายุมากกว่า 40ปีขึ้นไป มักพบว่า ร่างกายมีระดับวิตามินดี 3 ไม่เพียงพอในการดูแลสุขภาพในแบบองค์รวม โดยเฉพาะการเสริมสร้างภูมิต้านทานร่างกายในช่วงโควิดกำลังระบาด
● วิตามินดี มี 2 ชนิด ได้แก่ วิตามินดี 2 (Ergocalciferol) ซึ่งได้จาก เช่น เห็ด และวิตามินดี 3 (Cholecalciferol) ซึ่งได้มาจาก 2 ทาง คือ เนื้อสัตว์ ตับ ไข่แดง น้ำมันตับปลา ไขมันจากปลา นมและผลิตภัณฑ์จากนม และ การสัมผัสกับแสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้าประมาณ 15 นาที
วิตามินดี 3 กำลังจะมีบทบาทสำคัญในโลกอนาคต เพราะอนาคตข้างหน้า เชื้อโรคมากมายจะพัฒนาตัวเองดื้อต่อยา อาจทำให้โรคใหม่ๆเกิดระบาดขึ้นมามากมาย ดังนั้น หากภูมิต้านทานในร่างกายของเราไม่ดีพอ เราจะมีความเสี่ยงในการรับเชื้อมากกว่าคนอื่นหลายเท่าตัว และวิตามินที่มีบทบาทมากๆในการเสริมเกราะภูมิต้านทานให้เราคือ วิตามินดี 3
หลายคนต่างคุ้นเคยกับ วิตามินดี (vitamin D) เป็นอย่างดี เพราะเข้าใจว่าวิตามินชนิดนี้สามารถสร้างขึ้นได้ในร่างกายหลังจากถูกแสงแดด แต่ด้วยไลฟ์สไตล์คนเมืองที่กลัวแดด หรือมะเร็งผิวหนังจากแดด จนต้องหาครีมกันแดดมาใช้ตั้งแต่อายุยังน้อย รวมทั้งผู้ที่มีอายุใกล้วัย 40ปีขึ้นไป มักพบว่า ร่างกายมีระดับวิตามินดี 3 ไม่เพียงพอในการดูแลสุขภาพในแบบองค์รวม
ทวนกันอีกครั้งสำหรับวิตามินดี ซึ่งมี 2 ชนิด ได้แก่ วิตามินดี 2 (Ergocalciferol) ซึ่งได้จาก เช่น เห็ด และยีสต์ที่ใช้ประกอบอาหาร และวิตามินดี 3 (Cholecalciferol)ซึ่งได้มาจาก 2 ทาง คือ เนื้อสัตว์ ตับ ไข่แดง น้ำมันตับปลา ไขมันจากปลา นมและผลิตภัณฑ์จากนม และ การสัมผัสกับแสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้าประมาณ 15 นาที (รังสี UVB เปลี่ยนคอเลสเตอรอลในผิวหนังเป็นวิตามินดี 3)
ปกติเมื่อวิตามินดี 2 หรือ 3 จากอาหารเข้าสู่ร่างกาย จะถูกเปลี่ยนรูปแบบที่ตับใหม่เรียกว่า 25-OH Vitamin D3 หรือ Calcidiol ซึ่งเป็นรูปแบบของวิตามินดีในร่างกายที่คงอยู่ได้นาน จึงนิยมใช้ในการตรวจวัดระดับวิตามิน D เพราะสามารถตรวจวัดได้ดีกว่ารูปแบบอื่นๆ
หลายงานวิจัยกล่าวว่า นอกจากวิตามินดี 3 จะมีหน้าที่หลักช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสในลำไส้เล็ก ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน ป้องกันโรคกระดูกบาง (osteopenia) กระดูกพรุน (osteoporosis) โรคข้อเข่าเสื่อม (osteoarthritis) แต่ยังช่วยลดความเสี่ยง โรคความดันโลหิตสูง (hypertension) เสริมภูมิคุ้มกันในร่างกาย (immune system) ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง และโรคซึมเศร้า
ระดับของวิตามินดีต่ำหรือภาวะขาดวิตามินดี มีความสัมพันธ์กับโรคซึมเศร้าอย่างมีนัยสำคัญ
เนื่องจากโรคซึมเศร้ามีสาเหตุและปัจจัยที่หลากหลาย แต่การขาดวิตามินดี 3 มีความสัมพันธ์กับโรคซึมเศร้าอย่างมีนัยสำคัญ
เนื่องจากร่างกายของเรามีตัวรับวิตามินดี (Vitamin D receptor) ในหลายอวัยวะ รวมทั้งในสมองส่วน prefrontal cortex, thalamus, hypothalamus, hippocampus, cingulated gyrus และ substantia nigra ซึ่งเป็นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความจำ การควบคุมการเคลื่อนไหว การควบคุมอารมณ์ และพฤติกรรม อีกทั้งยังมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นเอนไซม์ที่ใช้ในการสังเคราะห์สารสื่อประสาท (neurotransmitter) ภายในสมองบริเวณดังกล่าว เช่น ซีโรโทนิน (serotonin) , โดพามีน (dopamine) และ นอร์อีพรินพีน (norepinephrine) ซึ่งทั้ง 3 สารสื่อประสาทเหล่านี้มีส่วนช่วยลดความเครียดและลดภาวะซึมเศร้า และโรคเกี่ยวกับความจำอื่นๆ
ใครบ้างที่ควรทานวิตามินดี 3 เสริมเพื่อรักษาสมดุลสุขภาพ
- ผู้ที่อยู่อาศัยในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะในบริเวณที่มลพิษหมอกควันหนาแน่น ทำให้แสงแดดจะส่องมาไม่มากพอ
- ผู้ที่ทำงานกลางคืนและไม่ค่อยตากแดด
- คนผิวเข้ม เพราะเม็ดสีเมลานินในผิวเป็นตัวปกป้องแสงแดดมาทำร้ายผิว จึงเสี่ยง
- ผู้ที่ทานยากันชัก ยาวัณโรค ยาต้านไวรัสเอชไอวี เพราะลดระดับวิตามินดีในร่างกาย
- ผู้ที่อายุ 45 ปีขึ้นไปหรือเข้าสู่ภาวะวัยทอง
- ผู้ที่มีความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน โรคความดันโลหิตสูง โรคซึมเศร้า
- ผู้ที่ต้องการเสริมภูมิต้านทานในร่างกาย
ขนาดที่แนะนำในแต่ละวัย (ควรปรึกษาแพทย์)
- ทารกที่ดื่มนมแม่ควรได้รับวิตามินดี 200 IU ต่อวัน
- สำหรับผู้ใหญ่คือ 200 – 2,000 IU ต่อวันแล้วแต่แพทย์พิจารณาตามวัตถุประสงค์
- ผลเสียของการรับประทานวิตามินดีเกินขนาด อาจมีผลต่อการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ทางทางเดินอาหาร ได้แก่ กระหายน้ำ อ่อนแรง เบื่ออาหาร ท้องเสีย ท้องผูก คลื่นไส้/อาเจียน ปวดกระดูก ง่วงซึม ปวดศีรษะ ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะกลางคืน และอาจเกิดนิ่วในไต โดยอาจพบอาการดังกล่าว ในระยะเวลาไม่กี่วัน หรือเป็นสัปดาห์