โรคเอดส์ อาจสูญพันธุ์ไป ในอนาคต จริงหรือ?

โรคเอดส์ อาจสูญพันธุ์ไป ในอนาคต จริงหรือ? Top svita  ท็อปส์ วีต้าโรคเอดส์ อาจสูญพันธุ์ไป ในอนาคต จริงหรือ? Top svita  ท็อปส์ วีต้า

โรคเอดส์ อาจสูญพันธุ์ไป ในอนาคต จริงหรือ?

 

สถานการณ์ผู้ติดเชื้อเอชไอวีในประเทศไทย มีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยยอดคาดการณ์ผู้ติดเชื้อรายใหม่ในปี 2563 คือ 6,628  และปี 2564 คือ 5,825 คน (ศูนย์รวมข้อมูลสารสนเทศด้านเอชไอวีในประเทศไทย) อาจเพราะผู้ที่มีความเสี่ยง สามารถเข้าถึงยาต้านไวรัสได้มากขึ้น 

สำหรับผู้ติดเชื้อในประเทศไทยที่ยังมีชีวิตอยู่ มีประมาณ 500,000 คน กำลังได้รับยาประมาณ 390,000 คน เสียชีวิต ประมาณ 12,000 คน สำหรับยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลก ณ ตอนนี้ มีประมาณ 37.7 ล้านคน (ข้อมูลจาก WHO)

สำหรับผู้ติดเชื้อในประเทศไทยที่ยังมีชีวิตอยู่ มีประมาณ 500,000 คน กำลังได้รับยาประมาณ 390,000 คน เสียชีวิต ประมาณ 12,000 คน สำหรับยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลก ณ ตอนนี้ มีประมาณ 37.7 ล้านคน (ข้อมูลจาก WHO)


HIV กับเอดส์ ต่างกันนะ!!!!!

  • เชื้อ HIV เป็นเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่องถ้าไม่รีบรักษา จนเป็นระยะสุดท้าย จะทำให้ป่วยเป็นโรคเอดส์
  • โรคเอดส์ คือ การติดเชื้อ HIV ในระยะสุดท้าย โดยระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายจนไม่สามารถต้านทานโรคต่างๆ ได้

เชื้อ HIV สามารถติดต่อได้หลายทางดังนี้

  • การมีเซ็กส์แบบไม่ป้องกันหรือใส่ถุงยาง กับคนที่มีเชื้อ HIV โดยเชื้อสามารถติดผ่านทางสารคัดหลั่ง เช่น เลือด น้ำเหลือง น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด น้ำนม ( ปัจจุบันยังไม่มีรายงานการติดเชื้อ HIV ผ่านทางน้ำลาย ปัสสาวะ น้ำตา หรือเหงื่อ)
  • ติดผ่านเลือดโดยการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้มีเชื้อ HIV หรือการได้รับเลือดจากผู้ที่มีเชื้อ HIV
  • การติดจากแม่สู่ลูก ระหว่างตั้งครรภ์ (เสี่ยง 90-100%) ระหว่างคลอด(เสี่ยง 60%)  รวมถึงการให้นมบุตร (เสี่ยง 20-30%)

การติดเชื้อเอชไอวีแบ่งได้ 4 ระยะ 

 

  1. ระยะติดเชื้อเฉียบพลัน คือ ได้รับเชื้อมาใหม่ๆ บางคนอาจจะมีอาการคล้ายไข้หวัด แต่อีกส่วนหนึ่งจะไม่มีอาการ ทำให้ไม่ทราบว่าตนเองติด

  2. ระยะไม่ปรากฏอาการ สามารถแพร่เชื้อให้กับบุคคลอื่นได้ง่ายโดยการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน
    ระยะที่ 1-2 นี้หากรู้ทัน รีบทานยาต้านการแบ่งตัวไวรัสทุกวันไปตลอดชีวิต จะสามารถทำให้เข้าสู่ระยะอื่นได้ช้าลง และหลายรายไม่เข้าสู่ระยะ 3,4 เลย

  3. ระยะมีอาการ คือ เริ่มมีฝ้าขาวในปาก มีตุ่มคันขึ้นตามแขนขา มีไข้เรื้อรังมากกว่า 2 สัปดาห์ ท้องเสียเรื้อรังมากกว่า 2 สัปดาห์ น้ำหนักลด  ระยะนี้ต้องทานยาอย่างเคร่งครัด และรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ทำให้ไม่ก้าวไปสู่ระยะสุดท้าย

  4. ระยะเอดส์ คือ ระยะนี้ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะถูกทำลายลงไปมาก สามารถทราบได้จากการตรวจเลือดจะพบเม็ดเลือดขาวชนิดซีดีสี่ (CD4)ลดลง อาจจะมาพบแพทย์ด้วยวัณโรค เชื้อราในปอด เป็นต้น หากเข้าสู่ระยะนี้ มักจะเสียชีวิตในเวลาไม่นาน

ติดเชื้อ HIVหายได้ไหม ?

 

  • ปัจจุบัน การรักษาผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี ยังคงเป็นการรักษาด้วยการทานยาต้านไวรัส เพื่อยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวี ไม่ให้มีการเพิ่มจำนวนขึ้น จนพัฒนาไปสู่ระยะสุดท้าย และเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น วัณโรค โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคคริปโตค็อกคัสในระบบประสาท ภาวะปอดอักเสบจากเชื้อรา
  • สำหรับการรักษาที่หายขาดนั้น ยังไม่เป็นที่แน่ชัดนัก ปัจจุบันมีเพียงผู้ป่วยหลายรายที่ทายาต้านไวรัสแต่เนิ่นๆ จนไม่พบเชื้อไวรัสในร่างกาย แต่อย่างไรก็ตามก็ยังคงต้องทานยาไปตลอดชีวิต และทานเป็นประจำทุกวันอย่างเคร่งครัด ไม่ให้ขาด

เนื่องจากการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์เป็นการรักษาระยะยาว ส่วนใหญ่มักมีผลข้างเคียงจากยาต้านเอชไอวี แพทย์จึงมีความจำเป็นต้องติดตามอาการ ทุก 6 เดือน เพื่อเป็นการติดตามผลข้างเคียงจากการใช้ยา หากพบผลข้างเคียงที่มากเกินไปจนผู้ติดเชื้อไม่สามารถทนต่อยานั้น ได้ แพทย์ก็จะทำการปรับเปลี่ยนยาให้เหมาะสมกับผู้ติดเชื้อแต่ละราย


วัคซีนเอดส์กำลังเร่งทดลอง

‘บริษัทโมเดอร์นา’ จับมือโครงการวัคซีนเอดส์ พัฒนาวัคซีน ‘เอชไอวี’ ด้วยเทคโนโลยี mRNA (รหัสคำสั่ง) คล้ายวัคซีนป้องกัน Covid-19 แต่ใช้โปรตีนจากเชื้อไวรัส HIV มาพัฒนาในรูปแบบของ mRNA เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกาย รหัสคำสั่ง นี้จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างโปรตีนจำลองเสมือนของเชื้อ HIV แล้วจากนั้นร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานมาจดจำเพื่อฆ่าเชื้อไวรัส HIV ได้ในอนาคตหากไปมีความเสี่ยงมา โดยเริ่มทดลองในมนุษย์แล้วในปี 2021 คาดว่าผลการทดลองจะได้ข้อสรุปประมาณปี 2023


ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อติดเชื้อ HIV

 

  • เริ่มการรักษาโดยการกินยาทันทีเมื่อทราบว่าตนเองติดเชื้อเอชไอวี
  • รับประทานยาทุกวัน และตรงเวลา
  • พบแพทย์เสมอเมื่อถึงเวลานัด
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารมีส่วนช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
  • ออกกำลังกายเพื่อ ดูแลร่างกายให้แข็งแรง
  • ดูแลสุขภาพจิต พยายามมองโลกในแง่ดี
  • เลิกบุหรี่ สิ่งเสพติดและแอลกอฮอล์ เพราะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคร้ายแรงอื่น ๆ ตามมา ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานหนักขึ้น
  • งดมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นโดยไม่ป้องกัน 

โรคเอดส์จะยังไม่สูญพันธุ์เร็วๆนี้ เพราะ

 

  • เรายังไม่สามารถหาวัคซีนที่ป้องกันได้ 100%

  • เชื้อเอชไอวี หลบหนีภูมิคุ้มกันของร่างกายเก่งมาก โดยจะทำการแอบแฝงในเม็ดเลือดของขาว (ที่เป็นตัวฆ่าเชื้อไวรัส ) แล้วแพร่กระจายเพิ่มจำนวนในเซลล์ที่ระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้นการกินยาจะช่วยยับยั้งไม่ให้เชื้อมีมากไปกว่าเดิม แต่จะฆ่าไม่ได้ 100%

  • ปัจจุบัน พบการกลายพันธุ์เพิ่มมากมาย เพราะปรับตัวเก่งตามธรรมชาติ ล่าสุด มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดของอังกฤษ เผยแพร่บทความลงในนิตยสาร Science ว่า มีการค้นพบเชื้อ HIV กลายพันธุ์ ชื่อ สายพันธุ์ VB ซึ่งมีความรุนแรงมากกว่าทำลายระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ และทำให้ผู้ติดเชื้อกลายเป็นผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเอดส์ เร็วขึ้นถึง 2 เท่าหากเทียบกับเชื้อ HIV สายพันธุ์ทั่วไป

ดังนั้นเราสามารถเสริมภูมิต้านทานร่างกายได้หลากหลายวิธี เช่น นอนแต่หัวค่ำ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หรือ ทานอาหารที่อุดมด้วยสารเพิ่มภูมิคุ้มกัน เช่น

 

  • เห็ดต่างๆ : เพราะเห็ดมีสารเบต้ากลูแคน ซึ่งกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวที่ช่วยในการฆ่าเชื้อโรคได้ดี

  • วิตามินซีในผักและผลไม้รสเปรี้ยว : ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย

  • วิตามินดี จากปลา : ช่วยสร้างสารแคทเธลิซิดิน(Cathelicidin) ทำให้เม็ดเลือดขาวออกมาต่อสู้โรคได้มากขึ้น

  • โปรไบโอติกส์ (Probiotics) หรือจุลินทรีย์ชนิดที่ดี : เช่น ตระกูล Lactobacillus และ Bifidobacterium ในนมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ต ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวที่เยื่อบุผนังลำไส้เล็กส่วนปลาย


โปรโมชั่นพิเศษท็อปส์ วีต้า

คูปอง
แบบประเมินสุขภาพ

วิตามินและอาหารเสริมขายดี